ออกกำลังกายลดน้ำหนัก เป็นสิ่งต้นๆ ที่คนลดน้ำหนักจำเป็นต้องทำ แต่กลายเป็นเรื่องที่คนลดน้ำหนักค้นหาคำตอบไม่น้อยว่า ทำไม๊ทำไม? เราก็ฟิตแล้วนะ ออกกำลังกายเช้าเย็นแต่หุ่นยังไม่ลด ยังดูมีไขมันส่วนเกินอยู่เลย วันนี้ลองมาเช็คข้อเหล่านี้ดูว่า ถึงเราจะฟิตแล้วแต่ยังทำพฤติกรรมเหล่านี้อยู่รึเปล่า?! ลองสังเกตการกินดูอีกครั้งการลดน้ำหนักนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ควรมีการควบคุมอาหารที่ดีด้วยเช่นกัน โดยไม่ต้องอด แต่ให้ลดบางอย่างที่ทำให้ไขมัน หรือแป้งเราเพิ่มขึ้นแทน เช่น การลดทานแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอาจทำให้มีปริมาณน้ำตาลสูงเกินไป รวมถึงของทอดของมันควรเปลี่ยนเป็นของต้ม ปรุงรสน้อยๆ รวมถึงอาหารเค็มก็มีโอกาสทำให้เราดูบวม หรืออ้วนขึ้นได้ เนื่องจากโซเดียมจะกระตุ้นการผลิตสารความสุขในร่างกาย ทำให้เราอยากอาหารมากขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำน้อย ก็ทำให้การออกกำลังกายเราไม่ได้ผลเท่าที่คาดหวัง เพราะน้ำเป็นตัวที่เพิ่มการเผาผลาญได้ดีขึ้น และลดโอกาสความอยากดื่มน้ำที่มีน้ำตาลสูงอีกด้วย แถมหลายคนฟิตมาก ออกกำลังกายหนักหน่วง แต่พอออกเสร็จก็ทานมากกว่าเดิมซ่ะอีก อาหารก็คุมแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ผลที่น่าพอใจออกกำลังกายก็ออก อาหารก็คุม แต่ไม่ลด ต้องหันไปดูพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์ในแต่ละวันควบคู่ไปด้วย เพราะทุกอย่างล้วนมีผลต่อฮอร์โมนในร่างกายเราทั้งสิ้น ซึ่งเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพการออกกำลังกายได้เช่นกัน อย่างการนอนพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด รู้จักผ่อนคลาย รวมถึงการออกกำลังกายผิดท่า ก็อาจไม่ได้ผล และทำให้เราบาดเจ็บได้ และมาดูว่าถ้าเราไม่ออกกำลังกาย และเลือกอดอาหารแทน ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร CLICK
ก่อนหน้านี้เราเคยเขียนเรื่องการออกกำลังกายตามโซนมาแล้ว ซึ่งจะแบ่งตามเปอร์เซนต์อัตราการเต้นของหัวใจ สมมติเราออกกำลังกายในโซนหนึ่งเพื่อการผ่อนคลายร่างกาย ในโซนนี้แนะนำให้มีอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ประมาณ 50 – 60% ของเต้นของหัวใจสูงสุดหรือตัว Maximun Heart Rate (MaxHR) ซึ่งจะผันแปรไปตามอายุ แนะนำให้อ่านเรื่องโซนทางนี้ก่อน CLICK แต่ตัวเลขเปอร์เซนต์ที่ว่านี้มันจะเท่ากับเท่าไรของการเต้นของหัวใจเราต่อครั้งกันล่ะ เดี๋ยวเรามาดูวิธีคิดกัน และเทียบตามตารางด้านล่างได้เลย สูตรการคำนวณคือ (220 – อายุ) x เปอร์เซนต์อัตราการเต้นของหัวใจตามโซนที่เราต้องการฝึก ซึ่งตัวเลขของสูตรที่เราให้คิด 220 – อายุก็คือตัว Maximun Heart Rate ของช่วงอายุเรา แล้วนำกลับมา x กับเปอร์เซนต์ที่เราต้องการนั่นเอง แต่สูตรนี้ก็มีข้อจำกัดในคนที่อายุเท่ากัน จึงมีอีกสูตรให้คำนวณเพื่อให้เฉพาะบุคคลเพิ่มเติม ในผู้ที่มีอายุเท่ากันก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักที่เท่ากัน หรือที่เรียกว่า Resting Heart Rate (RHR) ด้วยหลายๆ ปัจจัย เช่น กรรมพันธุ์ น้ำหนัก ความฟิต หรือโรคประจำตัวบางโรค ทำให้เราอาจต้องคำนวณตัว RHR เข้าไปด้วย จึงเป็นที่มาว่า เราอายุเท่ากันแต่เหนื่อยไม่เท่ากัน …
หลายคนออกกำลังกายก็อยากได้ผล โดยเฉพาะการลดน้ำหนัก แต่การฝึกออกกำลังกายก็มีหลายวิธี งั้นมาดูว่าวิธีไหนช่วยลด 100 แคลอรี่ได้ในเวลากี่นาทีกันนะ แนะนำวิธีการออกกำลังกาย โยคะ 45 นาที เป็นการเน้นโยคะเพื่อความผ่อนคลาย พักผ่อนจิตใจ ฝึกในห้องที่อุณหภูมิปกติที่บ้าน แต่หากโยคะร้อนจะสามารถเบิร์นได้ 100 แคลอรี่ในเวลาเพียง 20 นาทีเท่านั้น โดยเฉพาะตามคลาสที่มีสอนโยคะร้อนจะค่อนข้างได้ผลดี เต้น 25 นาที ในเลเวลช้าๆ ค่อยๆ ขยับตามเสียงเพลง แต่ถ้าหากเต้นเพลงที่เร็วขึ้น กึ่งไปทาง Zumba จะสามารถเบิร์นได้เร็วขึ้นใช้เวลาเพียง 9 นาทีเท่านั้น เนื่องจากการเต้นที่จังหวะเร็วสลับช้าถือว่าเป็นการคาร์ดิโออย่างหนึ่ง กระชับสัดส่วนได้ดี ได้ขยับกล้ามเนื้อทุกส่วน ปั่นจักรยาน 24 นาที เป็นการปั่นจักรยานในความเร็วปกติ พูดรู้เรื่อง มีเหงื่อซึมๆ แต่หากปั่นเร็วขึ้นคาดว่าจะลดได้มากถึง 100 แคลอรี่ในเวลาเพียง 7.5 นาทีเท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ควรจะเริ่มจากการค่อยๆ ปั่นช้าๆ แล้วไล่ระดับความเร็วเท่าที่ร่างกายรับได้ เพื่อลดโอกาสเกิดการบาดเจ็บ ว่ายน้ำ 20 นาที อีกหนึ่งการออกกำลังกายที่ได้ทุกส่วนและยังลดการกระแทกของร่างกาย ยิ่งว่ายเร็วก็ยิ่งลดน้ำหนักได้มาก โดยคาดว่าการว่ายน้ำในระดับค่อนข้างเร็ว …
คงเคยได้ยินเรื่องการวิ่งตามโซนกันมาบ้างแล้ว ครั้งนี้จะขอมาขยี้ให้เข้าใจมากขึ้นอีกครั้ง และมาดูกันว่าหากอยากให้ร่างกายแข็งแรง เหมาะกับการลดน้ำหนัก และฟิตสุดๆ จะเลือกวิ่งโซนไหนดี!? การออกกำลังกายจะแบ่งเป็น 5 โซนตามอัตราการเต้นของหัวใจ Zone 1 Basic เป็นการวิ่งช้าๆ หรือเดินช้าๆ ใช้เวลาประมาณ 20-40 นาทีต่อการวิ่งหนึ่งครั้ง โดยเราสามารถวิ่งได้ทุกวันเพื่อการเสริมสุขภาพทั่วไป ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือหอบ สามารถพูดคุยได้ปกติ โดยอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดควรอยู่ที่ 50-60% ช่วยเผาผลาญประมาณ 1-3 Kcal ต่อนาที Zone 2 Endurance Training วิ่งเร็วขึ้นเล็กน้อย เพื่อเพิ่มระดับความเหนื่อย ให้พอมีเหงื่อบ้าง ร่างกายจึงกระตุ้นให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อก็ไม่ได้ทำงานมากไป เหมาะกับผู้ที่เริ่มอยากใช้วิธีวิ่งในการฝึกออกกำลังกาย นอกจากนี้จะมีการดึงไขมันมาใช้เช่นกัน จึงให้การเผาผลาญมากขึ้นประมาณ 4-6 Kcal ต่อนาที ควรฝึก 20-40 นาที และระดับอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด 60-70% ของการเต้นของหัวใจสูงสุด Zone 3 Aerobic วิ่งเร็วขึ้นอยู่ในระดับปานกลาง โซนนี้แหละที่จะช่วยการเผาผลาญไขมันได้ดีมาก และยังเหมาะกับคนทั่วไปที่อยากใช้วิธีการวิ่งในการลดน้ำหนักเลย นอกจากนี้ยังทำให้ร่างกายฟิตขึ้น อึดขึ้น …
ถ้าพูดถึงเรื่องการฟิตเฟิร์มหุ่นล่ะก็ การสคอวชและการแพลงก์ ก็คงจะเป็นท่าออกกำลังกายแรกๆ ที่หลายคนนึกถึงใช่ไหมคะ? เพราะว่าสามารถทำได้ง่าย ไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรให้วุ่นวาย แล้วอยากรู้ไหมคะ ว่าทั้งสองท่านี้ มีความแตกต่างกันตรงไหนบ้าง วันนี้เราทำสรุปแบบง่ายๆ มาให้ดูกันแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นมาฟิตหุ่นกันเถอะ! แพลงก์ (Plank) คือการออกกำลังด้วยท่าทางนอนคว่ำ วางศอกชันกับพื้น ยกลำตัวในแนวตรงขนานกับพื้น ช่วยจัดแนวกระดูกสันหลัง ร่วมถึงช่วยในการทรงตัว และลดอาการบาดเจ็บในการออกกำลังกายชนิดอื่นๆ เพราะการแพลงก์จะช่วยเสริมความแข็งแรงของของแผ่นหลัง ในเวลา 5 นาที สามารถเผาผลาญได้ประมาณ 20 แคลอรี่ ได้ส่วนไหนบ้าง เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง และแกนกลางลำตัวเป็นหลัก แต่การบริหารด้วยท่าแพลงก์สามารถพลิกแพลงได้หลากหลายท่า ไม่ว่าจะเป็นการทำ Side Plank หรือ Raised Leg เพื่อเป็นการบริกล้ามเนื้อในส่วนอื่นๆ เช่น กล้ามเนื้อข้างลำตัว และกล้ามเนื้อต้นขา ไม่เหมาะกับใคร คนที่บาดเจ็บบริเวณข้อมือ และข้อเท้า เพราะเป็นส่วนที่ต้องช่วยรับน้ำหนักตัว นอกเหนือจากการเกร็งกลางลำตัว หากมีอาการบาดเจ็บแล้วฝืนทำ อาจบาดเจ็บได้ จุดที่มักทำผิดบ่อย หลังโค้งโก่งงอ เมื่อเกร็งตัวแล้วลำตัวไม่ขนานตรง จะทำให้แขนทำงานหนัก แก้ไขได้โดยการกดสะโพกลงเกร็งหน้าท้องไว้ให้เป็นแนวขนาน ก้นไม่ต่ำหรือโด่งเกินไป เงยหน้ามองบน …
ลักษณะขาปกตินั้น ขณะยืนช่วงหัวเข่าและข้อเท้าจะต้องชิดกัน มีช่องว่างเล็กๆ เกิดขึ้นได้ แต่ด้วยลักษณะรูปโครงสร้างของแต่ละคน การเลี้ยงดู การใช้ชีวิตที่ต่างกันออกไป รูปขาของคนเราจึงมีลักษณะต่างกันได้นั่นเอง ซึ่งโดยทั่วไปไม่ได้เป็นผลเสียกับร่างกาย หรือทำให้มีความเจ็บป่วย แต่หลายคนอาจรู้สึกเสียความมั่นใจ แต่ในทางกลับกันก็มีในบางรายที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้หากทำพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำๆ เป็นเวลานาน “ลักษณะขา “เป็นอย่างไรได้บ้าง ขาโก่ง เข่าจะโค้งออกจากกัน ไม่แนบชิดกัน โดยเฉพาะเมื่อยืนเท้าชิด ทั้งนี้อาจมีผลต่อสุขภาพได้หากมีอาการขาโก่งในระยะยาว เช่น พวกเอ็นตามข้อขาและข้อเข่าเสื่อม สะโพกหรือกระดูกหน้าแข้งอาจแบะออก ปวดหลัง ปวดสะโพก สาเหตุ เกิดจากกรรมพันธุ์ ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด ความผิดปกติของกระดูก เช่น ภาวะขาดสารอาหารในการสร้างกระดูก, กระดูกเสื่อม, มีอุบัติเหตุของกระดูก ทำให้ส่งผลให้แนวกระดูกมีลักษณะผิดรูปไป นั่งหรือเดินผิดท่าจนร่างกายชิน เช่น ชอบนั่งแบะขา เดินเอาปลายเท้าชี้ออกด้านนอก ชอบยืนขาโก่ง วิธีการเช็ค ยืนท่าตรงเท้าชิด ให้ตาตุ่มทั้งสองข้างแตะกัน แล้วสังเกตหน้ากระจกดูว่ามีช่องว่างระหว่างช่องขาหรือช่วงหัวเข่าหรือไม่ ถ้ามีอาจเข้าข่ายภาวะขาโก่งได้ วิธีแก้ไข หากเกิดจากพฤติกรรมเราเอง สามารถแก้ไข้ได้ด้วยการปรับท่าต่างๆ ให้อยู่ในลักษณะปกติ เช่น การพยายามเดินให้ปลายเท้าขี้ไปทางหน้า, ไม่ยืนขาโก่ง ควรนั่งในลักษณะท่าขาตรง ออกกำลังกายร่วมด้วยจะช่วยแก้ขาโก่งได้เช่นกัน อย่างท่าออกกำลังกายคือ …
ใครเคยโดนทักบ้างว่า “ช่วงนี้ดูตัวบวมๆ ขึ้นรึเปล่า?” ก็ไม่อยากรับความจริงเท่าไหร่หรอกนะ แต่ก็รู้สึกแน่นๆ แขนขาก็ใหญ่ หน้าท้องก็ป่อง อาการแบบนี้มันมาได้ยังไงกันเนี่ย!? วันนี้เราจะมาลิสต์ให้ทุกคนเช็คกันนะคะ ว่าพฤติกรรมอันตราย ที่ทำแล้ว “ตัวบวม” ได้เนี่ย มีข้อไหนบ้าง ที่เราเองก็กำลังทำอยู่ รู้แล้วรีบเปลี่ยนทันทีเลย! ทานอาหารรสจัด สำหรับตัวการที่ทำให้ตัวบวมก็คือ โซเดียม ซึ่งพบมากในอาหารที่มีรสเค็มจัดทั้งหลาย แต่ว่าอาหารรสจัดส่วนใหญ่ ทั้งรสเปรี้ยว เผ็ด หวาน ก็มันจะกลบรสเค็มลงทำให้เราอาจจะทานโซเดียมเข้าไปมากเกินกว่าที่จำเป็น เพราะฉะนั้นทางที่ดี ถ้าหากเลี่ยงได้ก็ลองหันมาทานอาหารที่ปรุงรสไม่มาก เน้นความอร่อยแบบธรรมชาติๆ บ้างก็ดีเหมือนกันนะคะ นั่งหรือยืนนานๆ นอกจากเรื่องของอาหารแล้ว ระบบหมุนเวียนเลือดก็จัดเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออาการตัวบวมได้เช่นกัน ดังนั้น การนั่งหรือการยืนนานๆ โดยไม่มีการขยับเคลื่อนไหวร่างกาย อาจสร้างให้เกิดแรงกดทับ ทำให้ของเหลวในร่างกายไหลเวียนไม่สะดวก จึงเกิดอาการบวมตามมา สวมเสื้อผ้าที่รัดเกิน แค่การปรับอริยบทท่าทางอาจจะยังไม่พอ เพราะการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นมากเกินไป ก็ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดเป็นไปอย่างไม่สะดวกเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากตัวบวมล่ะก็ ต้องเลือกสวมเสื้อผ้าที่ไม่อึดอัด โปร่ง และระบายอากาศได้ดีก็จะช่วยได้มากเลยค่ะ ใส่รองเท้าที่คับไป ต่อเนื่องกันมาจากข้อที่แล้ว นอกจากเสื้อผ้าแล้ว รองเท้าก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เราจะมองข้ามไม่ได้ เพราะการสวมใส่รองเท้าที่บีบแน่น หรือคับเกินไปนอกจากจะทำให้เดินไม่สะดวก เท้าบวมแล้วยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้อีกด้วย เพราะแท้จริงแล้วเท้า เป็นอวัยวะสำคัญที่ต้องรับน้ำหนักในการเคลื่อนไหวและเต็มไปด้วยเส้นประสาท …
สำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย หรือเริ่มคิดที่จะออกกำลังกายอย่างจริงจัง หลายคนน่าจะเคยได้ยินที่คนเขาชอบพูดกันว่า “ออกกำลังกายยิ่งเจ็บ ยิ่งต้องซ้ำ” ฟังแล้วก็แอบไม่แน่ใจ ว่าความเชื่อนี้มันถูกต้องจริงหรือไม่ สรุปแล้วจะต้องพัก หรือจะต้องซ้ำกันแน่ วันนี้เราจะมาขอไขข้อสงสัยให้ทุกคนเองค่ะ! แท้จริงแล้วความเชื่อนี้ เป็นความเชื่อที่ไม่ได้ผิดหรือถูกไปซะทั้งหมด เพียงแต่เราต้องมาทำความเข้าใจก่อนว่า ยิ่งเจ็บ ของเรามันคืออาการ “ปวดล้า” หรืออาการ “บาดเจ็บ” กันแน่? อาการปวดล้า หรือปวดระบม (Soreness) คืออาการปวดตึง เมื่อยล้า ระบมที่ตามตัว อาจขึ้นได้จากการออกกำลังกาย เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายหนักสะสม ทั้งยังแบ่งได้อีกเป็น 2 ลักษณะ คือ อาการปวดล้าแบบเฉียบพลัน (Acute soreness) เกิดขึ้น ขณะหรือหลังออกกำลังกายทันที สามารถหายได้เองเมื่อพักจากการออกกำลังกาย อาการปวดล้าหลังออกกำลัง (Delayed Onset Muscle Soreness : DOMS) เป็นอาการปวดล้าที่เกิดขึ้นภายหลังการออกกำลัง 24 – 72 ชั่วโมง สามารถหายไปเองใน 7-10 วันโดยไม่จำเป็นต้องกินยา อาการบาดเจ็บ …
ถ้าลดน้ำหนักแล้ว แต่พอส่องกระจกยังกังวลกับความอ้วน ลองเช็คสาเหตุทางนี้ดู เพราะเราอาจจะไม่ได้อ้วนเพราะน้ำหนักอยู่ก็เป็นได้ ส่วนใหญ่คนที่เป็น “โรคอ้วน” ก็อาจมีสาเหตุมาจากสิ่งเหล่านี้ได้เช่นกัน ช่วงคอถึงสะโพก อาจอธิบายได้ว่าคุณกำลังอ้วนเพราะกินแป้งและน้ำตาลมากเกินไปรึเปล่า จนสะสมเป็นไขมันบริเวณต่างๆ ในร่างกาย ภาวะนี้เกิดได้กับคนทั่วไปค่อนข้างสูง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคอ้วน ทำให้รูปร่างดูท้วมๆ และเคลื่อนไหวร่างกายยาก ทางที่ดีจึงต้องลดการทาน เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น สะโพกถึงต้นขา สังเกตได้ว่าจะใหญ่ช่วงล่าง เพราะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อย่างผู้หญิงที่ถึงวัยหมดประจำเดือน หรือช่วงรอยต่อของวัยต่างๆ นอกจากนี้อาจเกิดกับผู้ที่แพ้อาหารประเภทแป้ง และธัญพืช วิธีการดูแลเราควรเลี่ยงของที่แพ้ แล้วไปเลือกทานสิ่งที่ให้สารอาหารได้เช่นกัน และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ สะโพกถึงช่วงทั้งขา ส่วนใหญ่จะเกิดสองสาเหตุหลักคือ กรรมพันธุ์ หรือขาบวมขึ้นจากการตั้งครรภ์ ทำให้ดูอ้วนช่วงขา แต่ถ้าหากเป็นกรรมพันธุ์จะแก้โดยวิธีธรรมชาติค่อนข้างยากมาก อาจจะต้องปรึกษาศัลยแพทย์ หรืออีกทางคือลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดการสะสมของไขมันเพิ่ม เช่น การทานน้ำตาลสูง การไม่ออกกำลังกาย ฯลฯ แต่ถ้าผู้หญิงที่ตั้งครรภ์แล้วบวมในช่วงท้ายๆ ก่อนคลอด หลังจากคลอดอาการบวมจะดีขึ้น ก็หมั่นกระชับผิวบริเวณนั้นเป็นประจำ หน้าท้องบวม ดื่มแอลกอฮอล์เยอะแล้วท้องบวม! สาเหตุนี้มันใช่เลยแต่จะดูอ้วนบวมเฉพาะบริเวณกล้ามท้องจนดูยื่นออกมาชัดเจน หรือหลายคนเรียกว่า พุงโล นั่นแหละจ๊ะ แต่อีกสาเหตุที่อาจทำให้อ้วนบริเวณนี้ได้คือคนที่มีปัญหาระบบเผาผลาญ และระบบหายใจ เพราะฉะนั้นควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วันก็ยังดีจ้า …
กดตังไปช้อปให้แฮปปี้ดีกว่า! เพราะการเดินจับจ่ายของสาวๆ ราว 3 ชั่วโมง สามารถเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 500 กิโลแคลอรี่เลยนะ เยอะพอๆ กับการปั่นจักรยานอยู่กับที่ในฟิตเนส 1 ชั่วโมงเลย เห็นไหมว่าการออกกำลังกายไม่ได้น่าเบื่อเสมอไป ทำไมช้อปปิ้งถึงเผาผลาญได้มากขนาดนั้น? เอาจริงๆ แล้ว การเดินธรรมดาๆ 1 ชั่วโมง ก็เผาผลาญได้ถึง 300 กิโลแคลอรี่แล้ว ยิ่งเดินช็อปปิ้งแล้วล่ะก็ เราต้องคอยถือถุง หิ้วของ เดินวนไปวนมาเพื่อเทียบราคาของสองร้าน (ยอมรับมาซะว่าเคยทำ!) ทำให้เราสามารถเผาผลาญได้มากถึง 500 กิโลแคลอรี่เลยทีเดียว ซึ่งมันเทียบเท่ากับการปั่นจักรยานในฟิตเนส 1 ชั่วโมงนั่นแหละ เรียกว่าเป็นการออกกำลังแบบที่ทั้งสนุกและไม่น่าเบื่อไปอีกแบบ แต่ก็ระวังอย่าช้อปเพลินจนลำบากตัวเองตอนสิ้นเดือนกันนะจ๊ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก กรมสุขภาพจิต และ FATNEVER