How toครีมบำรุงผิว

ครีมบำรุงผิว

หนีไม่พ้นที่เวลาพบปะผู้คนแล้วจะต้องมองตากัน แต่แหม! บางทีก็ไม่มั่นใจถ้ามีทั้งริ้วรอย ความคล้ำ และถุงใต้ตาบวม เพราะฉะนั้นปัญหาเหล่านี้หากบำรุงให้ดีขึ้น ก็ช่วยเรียกความมั่นใจขึ้นมาได้ แต่ปัญหาใต้ตาแต่ละคนก็อาจกังวลต่างกันไป ถ้าจะเน้นบำรุงจุดไหน แนะนำเลือกใช้ให้ตรงปัญหานะจ๊ะ ปัญหาใต้ตาหมองคล้ำ เกิดได้หลายสาเหตุมาก ทั้งกรรมพันธุ์ โรคบางโรค เช่น ภูมิแพ้ และพฤติกรรมเราเอง ไม่ว่าจะนอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์หนัก ความเครียด สูบบุหรี่จัด ซึ่งเราเคยเขียนสาเหตุสีคล้ำใต้ตา CLICK การเลือกใช้สกินแคร์จึงควรมีสารที่สามารถยับยั้งการผลิตของเม็ดสีได้ เช่นพวก Vit. C, Niacinamide, Arbutin ฯลฯ เพื่อช่วยลดความหมองคล้ำเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง แนะนำครีมใต้ตา ลดความหมองคล้ำ DRUNK ELEPHANT C-Tango™ Multivitamin Eye Cream 2,250 บาท มีส่วนผสมของเซราไมด์ น้ำมันธรรมชาติ เปปไทด์ 8 ชนิด วิตามินซี 5 รูปแบบ และแตงกวา ซึ่งส่วนผสมหลักๆ เหล่านี้ จะช่วยให้ผิวรอบดวงตาดูกระจ่างใสขึ้น พร้อมกับช่วยเติมความชุ่มชื้น ลดความอ่อนล้าของผิวรอบดวงตาควบคู่ไปด้วย

เพราะผิวแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนผิวคล้ำ บางคนผิวไม่กระชับ และบางคนผิวมีริ้วรอย แต่เชื่อเถอะไม่ว่าจะเจอปัญหาไหน ทุกคนย่อมเจอปัญหาผิวแห้งไม่ต่างกัน โยเฉพาะสาวออฟฟิศทั้งหลายที่ต้องอยู่ในห้องแอร์ทั้งวัน ย่อมต้องการการดูแลผิวให้ชุ่มชื่น และสุขภาพดีอยู่เสมอ แต่คุณสมบัติ และผลลัพธ์จะดีอย่างเดียวไม่ได้ เนื้อต้องบางเบา ไม่เหนอะ และคงความชุ่มชื่นยาวนานถึงตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สาวออฟฟิศอย่างเราๆ ทั้งนี้เพื่อปกป้องผิวให้สุขภาพดี เราจำเป็นต้องใช้ครีมทาตัวที่มีส่วนผสมของมอยเจอร์ไรเซอร์ มาบำรุงให้ผิวมีความชุ่มชื่นอยู่เสมอ อย่างคนผิวแห้งอาจจะต้องพิถีพิถันในการเลือกครีมเป็นพิเศษ วันนี้แอดเลยอยากแนะนำ 6 ครีมทาตัว นอกจากให้ความชุ่มชื่นแล้ว ยังแก้ปัญหาเฉพาะบุคคลได้เป็นอย่างดี AVEENO Daily Moisturizing Lotion (354 มล. 399.-)เนื้อ : โลชั่นซึมไว ทาได้ทุกวัน ไม่มีน้ำหอม ไม่เหนอะผิวกลิ่น : ส่วนผสมธรรมชาติ ให้กลิ่นข้าวโอ๊ตอ่อนๆ โลชั่นบำรุงผิว สูตรผสมผสานระหว่างข้าวโอ๊ตคอลลอยด์ และสารสกัดที่อุดมไปด้วยมอยซ์เจอไรเซอร์ นอกจากให้ความชุ่มชื่นในแบบที่ผิวไม่เหนอะหนะแล้ว ยังช่วยปกป้องผิวแห้ง ในแบบที่สาวผิวแพ้ง่ายก็ใช้ได้เพราะ ไม่มีน้ำหอม ไม่เหนอะหนะ และไม่อุดตันผิว เนื้อเบาอ่อนโยน ใช้ได้ทุกวัน ขวดนี้ได้รับการแนะนำจากแพทย์ผิวหนังด้วยนะ EUCERIN pH5 Hydro Serum

ทาครีมเท่าไหร่ผิวก็ไม่ได้ดั่งใจสักที

วันนี้เราพาทุกคนมาเช็คว่าแต่ละวันได้ทาครีมในปริมาณที่เหมาะสมกับชนิดของสกินแคร์แต่ละอย่างหรือเปล่า โดยเปรียญเทียบง่ายๆกับเหรียญ 10 เหรียญ 5 และ 1 บาท ที่เราใช้ในแต่ละวันนี่แหละ ลงมากไปใช้ว่าดี ลงน้อยไปก็ไม่เห็นผล แล้วต้องลงแค่ไหน ไปหาคำตอบกันเลย เซรั่ม = 1 เหรียญบาทเราทราบกันดีอยู่แล้วว่าเซรั่ม เป็นสกินแคร์ที่มีเนื้อเข้มข้นมาก ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องลงมากไปเพราะนอกจากเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุแล้ว อาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้อีกด้วย ครีมกันแดด = 1 เหรียญ 10 บาท เพราะแสงแดดไม่เคยปราณีผิว เราก็ไม่ควรละเลยกับปริมาณที่ควรทาก่อนออกแดด 30 นาที ท่องให้ขึ้นใจเลยว่า ถ้าเป็นเนื้ออิมัลชั่น โลชั่นให้ทาในปริมาณ 1 เหรียญ 10 แต่ถ้าเป็นเนื้อครีมบีบ 2 ข้อนิ้วก็จะกะปริมาณได้เช่นกันค่ะ มอยส์เจอไรเซอร์ = 1 เหรียญ 5 บาทมอยส์เจอไรเซอร์ หรือ ครีมบำรุง คุณสมบิตคือให้ความชุ่มชื่นกับผิว แต่ด้วยสาวๆก็มีสภาพผิวที่แตกต่างกันไป และ เนื้อมอยส์เจอไรเซอร์ก็มีหลากหลายเช่นกัน ฉะนั้นแนะนำง่ายๆว่า ใครที่เป็นสาวผิวแห้งทาตามนี้ แต่ถ้าผิวมันทาแค่

ไม่ต้องใช้น้ำหอมก็ตัวหอมได้

แค่มีครีมทาผิวดีๆ สักขวด รับรองกลิ่นตัวหอมทั้งวัน แถมได้บำรุงผิวอีกด้วย เราเลยรีวิว 6 ครีมตัวหอม ซึ่งแต่ละตัวจะเด่นยังไง อ่านสรุปที่นี่ได้เลย Burt’s Bees Nourishing Milk &Honey Body Lotion (780 บาท) สายธรรมชาติ ชอบน้ำผึ้ง และนม ต้องตัวนี้เลย เพราะแค่ชื่อก็บอกส่วนผสมหลักชัดเจน ซึ่งเน้นช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น ชุ่มชื้น แถมยังกลิ่นหอมมากตั้งแต่เปิดหลอดครีม แนวน้ำผึ้งอ่อนๆ หน่อย ดูอ่อนโยน ให้กลิ่นระเรื่อๆ ทั้งวัน แต่ตัวนี้ถ้าพูดถึงระดับความชุ่มชื้น เราให้อยู่ระดับ 3 คือไม่ถึงกับฉ่ำ แต่สัมผัสได้ว่าผิวนุ่มลื่นขึ้น เพราะมีออยล์หลายชนิดผสมอยู่ ไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึมง่าย เบาผิวดี เหมาะสำหรับผิวธรรมดาถึงผิวแห้ง นอกจากนี้ก็ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมนะจ้า รวมถึงสารเคมีที่อาจทำให้แพ้ได้ และแบรนด์นี้มีชื่อเสียงอยู่แล้วว่า ทุกผลิตภัณฑ์คนผิวแพ้ง่ายใช้ได้ แต่มีข้อระวังเวลาเปิดฝาหลอด เพราะเนื้อครีมจะค่อนข้างเหลวหน่อย จึงควรตั้งฝาหลอดขึ้นก่อนจะเปิดใช้นะจ้า Bath & Body Works Gingham Body Lotion

พูดคำว่าเลขสามว่าเจ็บแล้ว

แต่พอมาดูสภาพผิวเจ็บยิ่งกว่า แต่ไม่ต้องเครียดไป เพราะสกินแคร์ที่เราจะมาแนะนำต่อจากนี้ เหมาะกับทุกคนในวัย 30+ ขึ้นไป แต่จะเน้นการดูแลแบบไหน ไปดูรีวิวทีละตัวได้เลย Laneige Perfect Renew Regenerator (2,250 บาท) ตัวนี้เป็นเซรั่มที่มีกลิ่นอายของความเป็นออยล์อยู่นิดๆ ด้วยเนื้อสัมผัสที่เวลาลงจะซึมง่าย และรู้สึกลื่นเบาๆ แต่ไม่เหนอะผิว ซึ่งคนผิวแห้งสามารถใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี แต่สำหรับคนผิวมัน ถ้าทาตอนเช้า อยากให้ลงบางๆ พอ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ผิวเหนอะเกินไประหว่างวัน ส่วนถ้าตอนกลางคืน ลงฉ่ำๆ ได้ พอตื่นมาจะรู้สึกหน้านุ่มขึ้นจริงๆ และอยากให้ใช้ต่อเนื่องนะจ๊ะ เนื่องจากเค้ามีส่วนผสมของน้ำเซราไมด์ที่มีความคล้ายคลึงกับชั้นผิวหนัง ผิวจะยิ่งแข็งแรงขึ้น เหมาะกับ: คนที่อยากเติมความชุ่มชื้น ผิวใสๆ ฉ่ำ ปล. ขวดที่เรารีวิวเป็นแพ็คเกจครบรอบ 25 ปีลาเนจนะจ้า The History of Whoo Self-Generating Anti-Aging Essence (5,690 บาท) จุดเด่นสุดแบบยังไม่ทันได้ลอง ยกให้แพ็คเกจเลยจ๊ะแม่ มีความเป็นราชนิกูลมาก หรูหราสมราคาห้าพันกว่าบาท แต่พอได้ลองทาจริง

เพราะผิวที่แตกต่างกัน การบำรุงก็ย่อมต่างกันไป บางคนผิวแห้งต้องการความชุ่มชื่น บางคนผิวมันอาจจะต้องปรับสมดุลด้วยเนื้อที่เหมาะสม หรือผิวบอบบางแพ้ง่ายต้องการการดูแลอย่างพิเศษ ฉะนั้นโพสต์นี้เราจะมาบอกทุกคนว่า ผิวแบบนี้ ควรดูแลด้วยสกินแคร์แบบไหน เนื้อครีม : ผิวแห้ง/ผิวผสมผิวแห้งเป็นผิวที่ต้องการความชุ่มชี่น เนื้อครีมที่เข้มข้นจึงเหมาะแก่การบำรุง และซึมซับได้ดีโดยไม่ทิ้งความแห้ง หรือ ริ้วรอยให้ต้องกวนใจ หรือแม้แต่ผิวผสมก็ต้องได้รับการบาลานซ์น้ำและน้ำมันใต้ผิว ฉะนั้นเนื้อครีมที่มีการผสมน้ำกับน้ำมันเข้าด้วยกัน โดยให้สัดส่วนน้ำมันที่มากกว่า จะทำให้เนื้อเก็บความชุ่มชื่นบนผิวได้ยาวนาน แถมยังเคลือบผิวได้ดี จึงไม่ต้องแปลกใจทำไมถึงเหมาะกับสาวผิวแห้งนั่นเอง เนื้อเจล : ผิวมัน/ผิวเป็นสิวส่วนใหญ่สาวผิวมัน และผิวเป็นสิว จะต้องการความชุ่มชื่นในแบบที่ไม่หนัก หรือเหนะผิวจนเกินไป เนื้อเจลเป็นเนื้อที่ผสมน้ำมันในปริมาณที่น้อยหรือไม่มีเลย ทำให้ซึมเข้าผิวได้เร็ว ไม่ค่อยอุดตัน ทาแล้วไม่ทำให้หน้ามัน จึงจัดว่าเป็นเนื้อผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับคนเป็นสิว ผิวมันมากที่สุด เนื้อโลชั่น : ผิวธรรมดา/ผิวแพ้ง่ายเพราะผิวที่บอบบางย่อมต้องการการปลอบประโลมอย่างที่สุด ฉะนั้นสกินแคร์ที่เหมาะสมกับการบำรุงจึงเป็นเนื้อแบบโลชั่น ที่มีส่วนผสมของน้ำมันและน้ำเข้าด้วยกัน โดยให้สัดส่วนที่น้ำมากกว่า หรือที่เราเรียกว่า Water base จุดเด่น คือ ซึมเข้าผิวได้ ไม่เหนียวเหนอะหนะ นอกจากเหมาะกับสาวผิวแพ้ง่าย ผิวธรรมดาแล้ว ยังเหมาะกับสาวผิมผสมและผิวมัน อีกด้วย

คงเคยได้ยินว่า ไม่ใช่ทุกผลิตภัณฑ์ความงามจะดีต่อผิวเราไปซ่ะหมด แต่มีแค่ตัวไหนดีกว่าตัวไหนเท่านั้นอีก เพราะมันขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งเรื่องของสภาพผิวที่เปลี่ยนไปตามฮอร์โมน พันธุกรรม และไลฟ์สไตล์แต่ละคน รวมถึงส่วนผสมที่ต่างกันในแต่ละผลิตภัณฑ์อีกด้วย ซึ่งตัวส่วนผสมนี่แหละคือสิ่งที่เราสามารถเลือกให้ตัวเองได้ ถ้าตามหลักแพทย์ผิวหนังจะมีประเด็นหรือส่วนผสมยิบย่อยมากที่ควรระมัดระวังหรือไม่ควรใช้เลย แต่ในฐานะผู้บริโภค เราควรรู้ข้อมูลพื้นฐานของส่วนผสมที่ได้ยินบ่อยๆ และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิว และอาจมีผลต่อร่างกายได้หากได้รับปริมาณที่มากเกิน ครั้งนี้เราจึงจะมาพูดถึงตัวพาราเบน (Paraben) ส่วนผสมที่มีเกือบทุกผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน “ปราศจากพาราเบน” คำพูดที่คุ้นหู แต่ไม่คุ้นความหมาย หลายคนเข้าใจผิดว่าพาราเบนคือชื่อ แบคทีเรียชนิดหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วพาราเบนคือ สารกันบูดชนิดแรกที่ถูกขนานนามตั้งแต่ปี 1950 เพื่อยืดอายุการเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ในการทำหน้าที่ป้องกันพวกเชื้อราและแบคทีเรียที่อาจเกิดขึ้นในส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ได้ การศึกษาที่ยังคลุมเครือว่า พาราเบนอาจก่อให้เกิดความผิดปกติของฮอร์โมนเพศหญิง เคยมีการศึกษาว่า พาราเบนจะซึมสู่ร่างกายผ่านผิวหนัง และยังมีโครงสร้างทางเคมีที่คล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิงชื่อว่า เอสโตรเจน (ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ควบคุมระบบสืบพันธุ์ในเพศหญิง) โดยการเลียนแบบผลเสมือนฮอร์โมน ทำให้เกิดการผลิตฮอร์โมนชนิดนี้มากเกินจนอาจไปกระตุ้นการแบ่งเซลล์ของเต้านมได้ และในปี 2004 ยังเคยมีการศึกษาในประเทศอังกฤษ โดยใช้กลุ่มตัวอย่างเพศหญิง 20 คน ในจำนวน 19 คน พบสารพาราเบน 5 ชนิดตกค้างในเนื้อเยื่อเต้านม แต่ก็ไม่ได้บ่งชี้ว่าเป็นสาเหตุของมะเร็งเต้านม เพียงแค่เป็นข้อมูลว่า สามารถซึมลงสู่ผิว และค้างอยู่ในนั้นได้ แต่จากการศึกษาพาราเบนอีกครั้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย

นวัตกรรมของสกินแคร์ปัจจุบันออกแบบให้ทาชิ้นต่อไปได้เลยไม่ต้องรอก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินว่าการทาสกินแคร์ควรรอให้แห้งสนิท โดยเว้นสัก 5 นาทีในแต่ละขั้นตอน เพื่อให้เนื้อผลิตภัณฑ์ซึมลงสู่ผิว และเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นด้วย แต่รู้หรือไม่? ความเชื่อนี้ยังไม่มีการพิสูจน์แน่ชัด จึงไม่สามารถระบุเวลาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้ ทว่าความโชคดีของสาวๆ ปัจจุบันครีมบำรุงที่ว่าได้รับการพัฒนาให้สามารถทาทับแต่ละชั้นได้ เพราะฉะนั้นเราอาจจะรอแค่ 30-60 วินาที เมื่อรู้สึกว่าเนื้อผลิตภัณฑ์ซึมสู่ผิวแล้วก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องใช้ตัวเลขมากำหนด!!! แต่หากลงสกินแคร์ที่ต่างเนื้อสัมผัสกัน แนะนำให้รอ 1-2 นาที แพทย์ผิวหนังในนิวยอร์ก Kristina Goldenberg ได้แนะนำว่า การลงสกินแคร์ที่ต่างกันแต่ละชนิด เช่น เซรั่ม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ และครีมกันแดด ควรเว้นระยะห่าง 1 นาที เพื่อมีเวลาให้ซึมลงสู่ผิว และลดโอกาสเนื้อครีมบางชนิดเกาะตัวกัน จนอาจเกิดเป็นขุยหรือคราบตกต้างบนผิวได้ และทำให้สกินแคร์อาจจะทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ทั้งนี้เคยมีแพทย์ผิวหนังอีกท่านจากนิวยอร์ก Rachel Nazarian ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ครีมกันแดด, วิตามินซีเข้มข้น และกลุ่มยารักษาสิว ยิ่งต้องทิ้งเวลาสักนิด ก่อนลงตัวอื่นๆ เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีความไวต่อแสงมาก และหากเราลงผลิตภัณฑ์อื่นตามทันที อาจทำให้ส่วนผสมเจือจาง และทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงควรรอเวลาสัก 1 นาทีให้ซึมลงสู่ผิวเสียก่อน นอกจากนี้คุณหมอยังแนะนำอีกว่า เราควรทาพวกกลุ่มยารักษาสิวก่อนการลงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เพื่อให้เนื้อผลิตภัณฑ์ซึมลงสู่ผิวได้เต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีการรบกวนจากตัวอื่นๆ

เวลาไปเจอบทความหรือดูคลิปในโซเชียลต่างก็บอกให้บำรุงผิวด้วยสกินแคร์นู้นสิ เพิ่มตัวนั้นสิ แล้วจะทำให้ผิวหน้าเราสุขภาพดีขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าการบำรุงผิวมากไปก็ทำให้ผิวเกิดการอุดตัน และทำร้ายผิวได้มากเช่นกัน ว่าแต่ควรบำรุงเท่าไหนถึงจะดี? บำรุงผิวมากเกินไปก็ทำร้ายผิว หลายคนมักจะเลือกประโคมสกินแคร์ลงบนผิวทีละเยอะๆ หลายตัวก่อนที่เราจะนอน เพราะเราไม่ต้องออกไปเผชิญมลภาวะจนกลัวว่าผิวอาจจะเหนอะเกินไป จึงทาครีมกี่ตัวก็ได้ตามใจต้องการ โดยเฉพาะมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื่น ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง Alice Jenkins กล่าวว่า ปกติผิวจะซึมซาบความชุ่มชื่นได้ถึง 60% จากที่บำรุงลงไป นอกนั้นมันจะยังเคลือบอยู่บนผิวเรา และทำให้ผิวหายใจไม่ออก อาจทำให้ผิวมันและเกิดการอุดตันได้ เราจึงควรมีหลักการปฏิบัติที่ถูกต้องในการบำรุงผิวในการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ต่างๆ และถึงแม้ว่าการบำรุงมากไปอาจไม่ดี แต่ที่แน่ๆ การไม่บำรุงเลย มันคือการทำร้ายผิวได้ 100% เลยล่ะสาวๆ เพราะฉะนั้นมาดูวิธีการบำรุงผิวที่เราแนะนำกัน การสังเกตว่าเราบำรุงมากไปนะ เคยไหมที่ทาสกินแคร์ไปตัวแรกๆ ผิวเราจะดูเงาขึ้น และมีความชุ่มชื่นขึ้น นั่นเกิดจากการที่สกินแคร์ซึมลงไปสู่ผิวเรา แต่ถ้ารู้สึกหนักผิวขึ้น เหนอะหนะ หรือเมื่อใช้มือสัมผัสแล้วลื่นจนมัน ยิ่งเมื่อตื่นตอนเช้าแล้วยังมีความมันตกค้างที่ผิวอยู่ นั่นอาจเป็นการบ่งบอกได้ว่า สาวๆ อาจบำรุงมากไป จนผิวไม่สามารถดูดซับได้ จึงควรลดปริมาณการบำรุงลง และมั่นสังเกตผิวในทุกๆ วัน โดยเลือกลดจำนวนการใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ลง ซึ่งเราอาจจะทาตัวที่เน้นความชุ่มชื่นโดยเฉพาะเพียง 1 ตัวเท่านั้น แต่ยังคงการบำรุงตัวอื่นๆ ตามปัญหาผิว การบำรุงพื้นฐาน ผิวธรรมดา แนะนำ

การบำรุงผิวนั้นมีหลายขั้นตอน แต่การจะบำรุงให้ได้ประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์อย่างที่เราพอใจ ต้องเริ่มต้นจากการเข้าใจประเภทของสกินแคร์ก่อนนะสาวๆ และหนึ่งในสกินแคร์ที่หลายคนงงมากแม่ว่ามันต่างกันไหม หรือใช้ได้แทนกันได้รึเปล่า ยกให้ Night Cream และ Sleeping Mask เราจึงจะมาอธิบายถึงความเหมือนและความต่างของเจ้า 2 ชนิดนี้กันดีกว่า ความต่างของสองสกินแคร์ Night Cream เป็นตัวหลักในการบำรุงขั้นตอนสุดท้ายที่เน้นการให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวยามค่ำคืน มีความเข้มข้นกว่า Day Moisturizer ในสูตรเดียวกัน จึงไม่เหมาะกับใช้ตอนกลางวัน เพราะอาจเกิดการอุดตันได้ง่าย Sleeping Mask เป็นตัวเสริมการบำรุงประจำวัน และยังเป็นตัวบูสผิวได้ลึกถึงชั้นผิว จึงมีความเข้มข้นในระดับสูง (บางแบรนด์อาจเทียบได้กับการมาส์กหน้าถึง 10 แผ่นเพื่อทาแค่ครั้งเดียว) ออกแบบมาเพื่อการบำรุงอย่างเร่งด่วน จากสาเหตุต่างๆ เช่น หลังจากผิวเผชิญแดดมาก เจอฝุ่นมลภาวะสะสม หรือแม้แต่การแต่งหน้าไม่ติดทน จึงมักมีส่วนผสมที่ให้การบำรุงลึกขึ้น เสริมให้ผิวได้รับการผ่อนคลาย โดยไม่ต้องล้างออก หน้าที่บำรุงต่างกัน Night Cream ออกแบบมาเพื่อใช้ได้ในทุกๆ วัน หลังล้างหน้า และมักจะเลือกใช้ตามประเภทผิว เน้นคงความชุ่มชื้น Sleeping Mask สามารถใช้บำรุงหลังทาสกินแคร์ Night Cream โดยไม่ต้องล้างออก

บทความที่เกี่ยวข้อง

เนื้อหาใหม่ล่าสุด

More article